Event Type Categories PRAEW MAGAZINE

PHOL’S FOOD : CHURROS

By | | No Comments

………………………………………………..
Spanish Churros
ชูโร
………………………………………………..

แป้งทอดแท่งยาวคลุกน้ำตาลผสมอบเชยป่นนี้มีชื่อเรียกว่า ชูโร
เป็นของว่างของหวานที่คุณอาจเคยพบเห็นตามงานแฟร์ หรือสวนสนุกในต่างประเทศ
เรื่องราวที่มาของชูโรมีอยู่มากมายหลายเรื่อง หนึ่งในเรื่องเล่าที่ฟังดูเข้าทีนั้นมีว่า
ชูโร ถูกคิดค้นขึ้นมาในเวลาที่คนเลี้ยงแกะอยากรับประทานขนมปังแต่ไม่สามารถหาได้
เพราะอยู่กลางหุบเขา จึงได้พยายามทำแป้งที่สามารถทอดง่ายๆ
เพื่อรับประทานในยามว่างจากหน้าที่การงาน

นอกจากเป็นของว่างแล้ว
ในประเทศสเปนยังนิยมรับประทานชูโรเป็นอาหารเช้าคู่กับช็อกโกแลตร้อนเข้มข้น

ชูโรมีวิธีการทำที่ไม่ยาก และส่วนประกอบก็ล้วนเป็นวัตถุดิบที่มีติดครัวเรือน
ในการทำแป้งชูโร ให้นำน้ำ 200 มิลลิลิตร เนยเค็ม 120 กรัม และกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
ใส่หม้อตั้งไฟจนเนยละลาย พอส่วนผสมเริ่มเดือด ก็ยกออกจากความร้อน
ใส่แป้งขนมปัง 120 กรัมที่ร่อนแล้วลงไป ใช้พายไม้กวนแป้งจนส่วนผสมจับตัวกันเป็นก้อน
แล้วจึงถ่ายส่วนผสมใส่ในชามผสมอีกใบ คนต่ออีกประมาณ 1 นาที เพื่อให้คลายความร้อนลง
ตอกไข่ไก่ 3 ฟองใส่ชาม ตีให้เข้ากันดี นำส่วนผสมไข่ใส่ลงในตัวแป้งทีละน้อย
คนให้เข้ากัน พอใส่ไข่หมด ก็จะได้แป้งชูโรพร้อมทอด
ใส่แป้งในถุงบีบโดยใช้หัวบีบรูปดาวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร
ตั้งน้ำมันรำข้าวสำหรับทอดที่ 150 องศาเซลเซียส บีบแป้งชูโรลงไปให้มีความยาวประมาณ 6 นิ้ว
แล้วใช้กรรไกรตัด พลิกกลับด้านแป้งเป็นระยะ ทอดชูโรให้สุกดี ใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที
ตักชูโรขึ้นจากน้ำมัน สะเด็ดน้ำมันและพักให้เย็นลง ประมาณ ½ นาที
ก่อนที่จะนำชูโรไปเคล้ากับน้ำตาลทรายที่ผสมด้วยอบเชยป่น (น้ำตาลทราย 1 ถ้วย:อบเชยป่น 2 ช้อนชา)
คุณสามารถรับประทานชูโรที่เคล้าน้ำตาลอบเชยแล้วได้ทันที

หากว่าต้องการซอสช็อกโกแลตรสชาติเข้มข้น ก็เพียงนำครีม 90 มิลลิลิตร
และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ใส่หม้อตั้งไฟอ่อนๆ  พอเริ่มเดือดก็ยกออกจากความร้อน
สับดาร์กช็อกโกแลต 120 กรัมใส่ลงไปคนให้ละลายดี เสิร์ฟอุ่นๆ รับประทานคู่กัน

วิธีการทำชูโรนั้นไม่ยาก และสามารถทำตัวแป้งล่วงหน้า
โดยเก็บรักษาในตู้เย็นได้เป็นเวลา 2 วัน เมื่อต้องการรับประทานจึงค่อยนำมาบีบขึ้นรูปทอด

PHOL’S FOOD : Thai Flower Cookies

By | | No Comments

………………………………………………..
Thai Flower Cookies
ขนมดอกจอก
………………………………………………..

ถ้าคุณบังเอิญได้เห็นพิมพ์ขนมไทยรูปดอกไม้
ที่ทำจากทองเหลืองและมีก้านที่จับยาวๆ
ลองหาซื้อมาครอบครองสิครับ

ขนมดอกจอกทำไม่ยาก และส่วนผสมก็มีราคาไม่แพง
ความสวยงามของขนมดอกจอกมาจากรูปทรงของพิมพ์
หน้าที่ของเราคือเพียงแค่นำพิมพ์ร้อนๆ ไปชุบในแป้งแล้วทอดให้สุกดีก็เท่านั้นเอง

พิมพ์ขนมดอกจอกทำจากทองเหลือง มีคุณสมบัตินำและรักษาความร้อนได้ดี
ควรล้างให้สะอาดก่อนการใช้งานครั้งแรก นำไปแช่ในน้ำมันสัก 1-2 ชั่วโมง ก่อนการใช้งาน
ตัวแป้งมีส่วนผสมของน้ำปูนใสซึ่งเราต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า
โดยใช้ปูนแดงในสัดส่วน 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำสะอาด 1 ลิตร
ทิ้งไว้จนผิวหน้ามีลักษณะเป็นฝ้าบางๆ ตวงออกมา 180 มิลลิลิตร เพื่อใช้ในการผสมแป้ง

ส่วนผสมแป้งขนมดอกจอกนั้นทำจากแป้งที่แตกต่างกันถึงสามชนิด
ได้แก่ แป้งข้าวเจ้าและแป้งมันสำปะหลังอย่างละ 100 กรัมและแป้งสาลี 50 กรัม
ร่อนแป้งทั้งหมดให้เข้ากันดี แล้วจึงใส่น้ำตาลทราย 50 กรัม และเกลือ 1 ½ ช้อนชาลงไป
พักไว้ ผสมกะทิ 110 มิลลิลิตร กับไข่แดง 1 ฟอง และน้ำรำข้าว 1 ช้อนโต๊ะ
นำไปนวดกับแป้งที่พักไว้ ค่อยๆ ใส่น้ำปูนใสลงไปทีละน้อยจนหมด
ใส่งาขาวและงาดำดิบลงไปอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ เตรียมหม้อน้ำมันสำหรับทอด
อุ่นน้ำมันที่ 160 องศาเซลเซียส นำพิมพ์ขนมดอกจอกลงไปแช่ในน้ำมันให้ร้อนดี

ในการทอดขนม ให้เตรียมกระดาษซับน้ำมันพับหนาๆ วางลงบนจานแบน
นำพิมพ์ขนมที่ร้อนดีออกจากน้ำมัน กดซับลงบนกระดาษหนึ่งครั้ง
แล้วจึงนำพิมพ์ชุบลงในแป้งขนมทันที ความร้อนของพิมพ์จะทำให้แป้งติดดี
การชุบพิมพ์ลงในแป้ง จะต้องไม่ชุบให้ท่วมพิมพ์เพราะจะทำให้ขนมหลุดออกจากพิมพ์ไม่ได้
จึงควรชุบเพียง ¾ ของพิมพ์ นำพิมพ์ที่แป้งติดดีแล้วหย่อนลงในน้ำมันทันที
จับก้านพิมพ์ให้ขนมจมลงในน้ำมันเพียงแค่ท่วมพิมพ์แต่ไม่ให้แตะก้นหม้อ
ทอดขนมสัก 10 วินาทีให้แป้งพออยู่ทรง แล้วจึงใช้นิ้วหมุนก้านขนมเบาๆ ให้ตัวแป้งหลุดออกจากพิมพ์
ทอดขนมดอกจอกจนมีสีน้ำตาลอ่อนๆ ตักขึ้นจากน้ำมัน แล้ววางตัวขนมบนถ้วยตะไล
ใช้ปลายนิ้วง้างกดด้านข้างของตัวขนมให้มีลักษณะโค้งตามถ้วยตะไล
ขั้นตอนนี้ต้องทำในขณะที่ขนมยังร้อนอยู่
ถ้าเย็นตัวลงแล้วจะไม่สามารถงอได้ พักขนมให้เย็นลง ทำซ้ำไปเรื่อย
ในการทอดขนมดอกจอก เราจะต้องคนแป้งเป็นระยะ
เพื่อให้งาและแป้งไม่นอนก้น ขนมดอกจอกที่พักให้เย็นดี

สามารถเก็บรักษาในกล่องหรือถุงสูญญากาศได้ถึงหนึ่งสัปดาห์
นอกจากทำไว้รับประทานเองแล้ว
ยังสามารถมอบให้เป็นของฝากได้อีกด้วย

งาม อร่อย และมีคุณค่า … ลองทำดูนะครับ

PHOL’S FOOD : Raspberry Bundt Cake

By | | No Comments

………………………………………………..
Raspberry Bundt Cake
บันด์เค้กราสป์เบอร์รี่
………………………………………………..

บัลด์เค้ก (Bundt Cake) เป็นเค้กที่มีรูปร่างกลมและมีรูตรงกลาง
พิมพ์บัลด์เค้กส่วนมากจะมีขนาดใหญ่ความจุประมาณ 2-3 ลิตร
รายละเอียดลวดลายของพิมพ์ก็จะมีหลากหลายลักษณะแตกต่างกันไป
ตัวเนื้อบัลด์เค้กนั้นไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเนื้อเค้กชนิดใด
เมื่อพูดถึงบันด์เค้กจึงเป็นเรื่องของรูปทรงมากกว่าชนิดของเนื้อเค้ก

ในวันเกิดผมที่ผ่านมา ผมได้พิมพ์บัลด์เค้กเป็นของขวัญ
และผมก็ตั้งใจว่าจะใช้พิมพ์บัลด์เค้กอันนี้ อบเค้กสูตรอร่อยของผม
มาแบ่งปันในเดือนครบรอบวันเกิดของแพรว
ถ้าคุณยังไม่เคยทำบันด์เค้ก ลองจับจองพิมพ์บัลด์เค้กสวยๆ
สักอัน แล้วมาทำบันด์เค้กสูตรอร่อยของผมด้วยกันสิครับ

เพื่อให้เค้กหลุดออกจากพิมพ์ได้ง่าย ทาเนยให้ทั่วพิมพ์สองรอบ
เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส ผสมโยเกิร์ต 150 กรัมกับนม 40 มิลลิลิตรเข้าด้วยกัน
ร่อนแป้ง 420 กรัม ผงฟู 2 ½ ช้อนชา และเกลือ 1 ¼ ช้อนชาเข้าด้วยกัน
พักไว้ ตีเนย 240 กรัม กับน้ำมันรำข้าว 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาลทราย 380 กรัม ให้ฟูและขาวเนียนดี
ประมาณ 5 นาที ลดความเร็ว ใส่ไข่ไก่ทีละฟองจนครบ 4 ฟอง ตามด้วยกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
แบ่งส่วนผสมของแห้งเป็นสามส่วน และส่วนผสมโยเกิร์ตเป็นสองส่วน
ใส่ของแห้งและโยเกิร์ตส่วนแรกลงไป ตีแค่พอเข้ากัน
ใส่ของแห้งส่วนที่สองและโยเกิร์ตส่วนที่เหลือลงไป ตีแค่พอเข้ากันอีกครั้ง
แล้วจึงใส่ของแห้งส่วนสุดท้ายลงไป ตีเบาๆ แค่เพียง 30 วินาที แล้วหยุดเครื่อง
ใช้พายยางผสมส่วนประกอบให้เข้ากัน ใส่ 1/3 ของส่วนผสมเค้กลงในพิมพ์
โรยราสป์เบอร์รี่ครึ่งหนึ่งให้กระจายทั่วๆ แล้วตามด้วยส่วนผสมเค้กอีก 1/3 ใส่ราสป์เบอร์รี่ส่วนที่เหลือ
สุดท้ายจึงใส่ส่วนผสมเค้กส่วนสุดท้ายลงไป เกลี่ยผิวเค้กให้เรียบดี
นำเค้กเข้าอบเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

เมื่อเค้กสุกดี ให้นำออกจากเตาอบ พักในพิมพ์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
คว่ำเค้กลงบนตะแกรง พักให้เย็นสนิท
ทำหน้าไอซิ่งโดยผสมน้ำตาลไอซิ่ง 300 กรัม กับน้ำสะอาดประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ
สามารถเติมน้ำเพิ่มได้ถ้าไอซิ่งข้นเกิน ราดไอซิ่งบนเค้ก พักให้เย็นลง

โรยน้ำตาลไอซิ่งเพิ่มเล็กน้อย จัดวางบนฐานเค้กสวยๆ
พร้อมให้ตัดรับประทานได้ตามอัธยาศัย

PHOL’S FOOD : Watermelon and Five-Spice Pork Salad

By | | No Comments

………………………………………………..
Watermelon
& Five-Spice Pork Salad
ยำพะโล้แตงโม
………………………………………………..

ในสมัยที่อะไรๆ ก็เต็มไปด้วยการฟีทเจอริ้ง (Featuring)
การนำเสนอส่วนผสมที่คุ้นเคยให้เป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่าง อาจจะใช่หรือไม่ใช่
ก็ต้องลองดู ว่าสิ่งที่มาอยู่ด้วยกันจะเสริมส่งสร้างสิ่งที่น่าสนใจได้หรือไม่

อย่างในวันวุ่นๆ ของคนทำอาหาร ก็อดไม่ได้ที่จะอยู่เฉย เลยขอเลือกทำอะไรง่ายๆ
แต่เต็มไปด้วยสีสันและความสนุกเพื่อจะปลุกจังหวะของวันให้น่าสนใจมากขึ้น

ผมเลือกหมูพะโล้ เมนูอร่อยที่หาซื้อได้ง่ายๆ นำมาปรุงปรับให้ต่างจากหมูพะโล้ที่คุ้นเคย
เพื่อรับประทานเป็นเมนูยำกับผลไม้เนื้อฉ่ำอย่างแตงโม
และนี่ก็คือความแตกต่างที่ผมคิดว่า เขาก็ไปด้วยกันได้ดี

ในการทำยำพะโล้แตงโม
ผมเริ่มต้นจากการรื้อตู้เย็นหาพะโล้ที่เก็บซ่อนอยู่ หรือถ้าไม่มี ก็แค่ไปหาซื้อจากร้านอร่อยใกล้บ้าน
ผมกรองน้ำพะโล้ออก แยกหมูสามชั้นและไข่พะโล้ออกมา
หลังจากนั้น ก็นำมาปรุงรสให้แตกต่างด้วยการนำน้ำจิ้มไก่ทอดไปตั้งไฟให้ข้นขึ้นเล็กน้อย
นำหมูลงไปเคล้าให้ซอสเคลือบดี โรยด้วยงาขาวคั่ว แล้วพักให้เย็น หั่นแตงโมเป็นชิ้นพอดีคำ
วางบนตะแกรงเพื่อสะเด็ดน้ำ หาส่วนประกอบที่มีรสเปรี้ยวมาเสริมให้สลัดครบรสมากขึ้น
ผมเลือกใช้มะเฟือง ซอยเป็นแผ่นบางๆ สุดท้ายก็เพียงนำหมูพะโล้ แตงโม และมะเฟืองมาเคล้าเบาๆ กับผักชี
และใบสะระแหน่ ตักใส่จานเสิร์ฟ ผ่าไข่พะโล้ลงไปเคียงสักฟอง
โรยหน้าด้วยหอมเจียวกรอบๆ ยำพะโล้แตงโมจะอร่อยที่สุดเมื่อรับประทานทันที
ถ้าทิ้งไว้นานจะแฉะและรสชาติอ่อนลง

เมนูนี้ไม่มีสัดส่วน ไม่มีถูกไม่ผิด
ถ้าอยากจะซอยพริกลงไปสักเม็ดสองเม็ด
บีบมะนาวอีกสักหน่อย หรือลองใช้ผลไม้ที่แตกต่างก็ไม่ว่ากัน
ก็อย่างที่เกริ่นไว้ว่ามันคือการฟีทเจอริ้ง การมาพบกันของรสชาติเดิมๆ ที่แตกต่าง
ใครจะคิดว่าไปด้วยกันได้ดี

ของอย่างนี้ต้องลองครับ

PHOL’S FOOD : 25-Minutes Fried Chicken

By | | No Comments

………………………………………………..
25-Minutes Fried Chicken
ไก่ทอด 25 นาที
………………………………………………..

การรักษาเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญ
โดยเฉพาะสำหรับเมนูไก่ทอดสูตรที่ผมนำมาฝาก
เพราะถ้าคุณสามารถปรับความร้อนในการทอดให้ไก่สุกได้พอดีใน 25 นาที
คุณก็จะได้ลิ้มชิมรสไก่ทอดสูตรอร่อยที่ผมนำมาฝากนี้ได้

ไก่ทอดสูตรนี้ ไม่มีการปรุงรสอะไรมากมาย
แต่เสน่ห์นั้นอยู่ที่ความหอมและกรอบของหนังไก่ ก่อนที่เราจะนำไก่ไปทอดนั้น
เราจะเพิ่มความหอมให้กับน้ำมันที่จะใช้ทอดไก่ด้วยการทอดสมุนไพรต่างๆ
ที่เราจะใช้รับประทานคู่กับไก่ทอดสูตรนี้ก่อน สำหรับสะโพกไก่ติดน่องเลาะกระดูกจำนวน 2 ชิ้น
เราใช้หอมแดงหัวเล็ก 6 หัว กระเทียม 2 กลีบ พริกแห้งเม็ดเล็ก 6 เม็ด และพริกไทยอ่อน 2 ช่อ
ซอยหอมแดงและกระเทียมบางๆ นำไปทอดในน้ำมันด้วยความร้อนต่ำโดยเริ่มจากหอมแดงก่อน
เจียวหอมจนได้สีที่สวย แล้วจึงตักออกมาพัก ทอดกระเทียมต่อในน้ำมันเดิม
ตามด้วยพริกแห้งที่หั่นเป็นแว่นเล็กๆ แล้วแคะเมล็ดออก
สุดท้ายจึงนำพริกไทยอ่อนไปฉ่าในน้ำมันประมาณ ½ นาที
พักเครื่องทั้งหมดไว้ ตักน้ำมันออกจากให้เหลือแค่เพียงเคลือบทั่วกระทะ
โรยเกลือบนชิ้นไก่ทั้งสองด้าน นำไก่ด้านหนังลงทอด ลดความร้อนลงเล็กน้อย
ทอดไก่ด้วยความร้อนต่ำไปเรื่อยๆ น้ำมันจากหนังไก่จะค่อยๆ ออกมาทีละน้อย
เมื่อไก่เริ่มสุก เราจะสังเกตุได้จากสีของเนื้อไก่ที่จะค่อยๆ เปลี่ยนจากชมพูเป็นสีขาว
ในระหว่างนี้ เราจะไม่กลับด้านไก่
จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 23 นาที เมื่อไก่แทบจะสุกดีทั้งชิ้นแล้ว
เราจึงค่อยพลิกด้านหนังกลับขึ้นมา หนังของไก่จะมีลักษณะที่แบนราบและกรอบบาง
ทอดไก่ต่ออีก 2 นาทีแล้วนำขึ้นจากน้ำมัน

นอกจากส่วนประกอบของเครื่องต่างๆ แล้ว
ผมเพิ่มความพิเศษโดยนำถั่วแมคะเดเมียมาสไลด์ให้เป็นแผ่นบางด้วยที่ปอกผัก
แล้วนำไปอบที่ 180 องศาเซลเซียส จนถั่วมีสีน้ำตาลอ่อนๆ พักให้เย็นลง
ขั้นตอนนี้เราสามารถทำล่วงหน้าไว้ก่อนได้ เมื่อต้องการรับประทาน ก็ให้จับชิ้นไก่ลงบนจาน
โรยด้วยหอมเจียว กระเทียมเจียว พริกทอด พริกไทยอ่อน และแมคะเดเมียสไลด์อบ

อร่อยได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรุงรสหรือซอสใดๆ

PHOL’S FOOD : DIY COOKIE MIX

By | | No Comments

………………………………………………..
DIY Cookie Mix
ดีไอวาย คุกกี้มิกซ์
………………………………………………..

ในช่วงปีใหม่นี้ ผมมีของขวัญมามอบให้คุณได้แบ่งปัน
เป็นของหวานที่รับประทานง่ายๆ แต่มาในรูปแบบของส่วนประกอบที่ยังรอคอยการผสมปรุงแต่งอีกเล็กน้อย

ดีไอวาย คุกกี้มิกซ์ คือ ส่วนประกอบของคุกกี้แสนอร่อยที่มีเนื้อสัมผัสกรอบ
และเต็มไปด้วยส่วนประกอบที่ทุกคนโปรดปราน ไม่ว่า ช็อกโกแลตชิพ ลูกเกด ข้าวโอ๊ต และเม็ดมะม่วงหิมพานต์
ส่วนประกอบเหล่านี้จะถูกจัดเรียงลงในขวดโหลพร้อมกับส่วนประกอบพื้นฐานอื่นๆ
ในลักษณะแยกเป็นชั้นให้สวยงาม เมื่อต้องการรับประทาน ก็เพียงตอกไข่ใส่เนยละลายอีกเล็กน้อย
คนทุกอย่างให้เข้ากัน นำไปอบให้สุกดีก็เป็นอันเสร็จสิ้น สิ่งที่พิเศษสำหรับคุกกี้สูตรนี้ก็คือวิธีทำที่แสนง่าย
ไม่ต้องมีประสบการณ์ในการทำขนมก็สามารถทำได้

ในการบรรจุ ดีไอวาย คุกกี้มิกซ์สูตรนี้
เราต้องการขวดโหลมีฝาปิดที่มีความจุ 1.25 ลิตร จัดเรียงส่วนประกอบตามลำดับเพื่อให้เห็นเป็นชั้นๆ ดังนี้
ชั้นแรกซึ่งเป็นชั้นล่างสุด ให้ใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ 150 กรัม ที่ร่อนรวมกับผงฟู
และเกลืออย่างละ ½ ช้อนชา ตามด้วยอบเชย 1½ ช้อนชา
ข้าวโอ๊ต 90 กรัม น้ำตาลทรายแดง 90 กรัม น้ำตาลทราย 75 กรัม ช็อกโกแลตชิพ 95 กรัม
เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 95 กรัม และลูกเกด 110 กรัม ตามลำดับ
ปิดฝาขวดโหลให้แน่นดีเพื่อป้องกันความชื้น และก่อนที่เราจะมอบให้เป็นของขวัญกับใครก็ตาม
ต้องไม่ลืมแนบวิธีทำไปด้วย หาการ์ดสวยๆ คัดลอกวิธีทำแถมทิ้งท้ายด้วยคำอวยพร

และข้อความของวิธีทำคุกกี้สูตรนี้ก็คือ
“เปิดเตาอบที่180 องศาเซลเซียส เตรียมถาดอบรองกระดาษไข 2 ถาด ละลายเนย 115 กรัม
ทิ้งให้เย็นลงเล็กน้อย ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป 1 ฟอง ตีให้เข้ากันดี
เทส่วนประกอบในขวดโหลลงในชามผสมใบใหญ่
ใส่ส่วนผสมไข่และเนยลงไป ใช้พายไม้คนให้เข้ากันดี ใช้ช้อนโต๊ะหรือที่ตักไอศกรีม
ตักแป้งคุกกี้หยอดลงบนถาดอบ ทิ้งระยะห่างเล็กน้อย นำเข้าอบเป็นเวลา 12 นาที
พักให้เย็นลง พร้อมรับประทาน”

ขอให้ ดีไอวาย คุกกี้มิกซ์ เป็นของขวัญที่สร้างความสุขกับผู้ให้
แถมด้วยความภูมิใจให้กับผู้รับ ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้
ขอให้ทุกท่านพบเจอแต่สิ่งดีงามนะครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ

PHOL’S FOOD : S’more Toast

By | | No Comments

………………………………………………..
S’more Toast
ขนมปังสมอร์
………………………………………………..

“Can I have some more?”
คำถามเชิงอ้อนขอ ที่มาของชื่อขนมหวานสไตลอเมริกันที่มีชื่อว่า สมอร์ (S’more)
ที่เกิดจากการนำช็อกโกแลต และมาร์ชเมลโลวย่าง มาประกบด้วยบิสกิตสองชิ้น

รสชาติและส่วนประกอบของสมอร์ถูกนำมาดัดแปลงเป็นของหวานต่างรูปแบบมากมาย
และขนมปังสมอร์ก็เป็นอีกหนึ่งของหวานที่ผมได้พัฒนาขึ้นมา โดยใช้ขนมปังแผ่นหนา 4 แผ่น
มาชุบกับคัสตาร์ดรสช็อกโกแลตที่ปรุงขึ้นมาด้วยไข่แดง 3 ฟอง
ตีกับน้ำตาลทราย 75 กรัม แป้งสาลี 1 ½ ช้อนโต๊ะ และผงโกโก้ 4 ½ ช้อนโต๊ะ
แล้วจึงใส่ครีมและนมอย่างละ 225 มิลลิลิตรลงไป ชุบขนมปังในคัสตาร์ดด้านละ 10 นาที
อบที่ 180 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 30 นาที และอย่าลืมที่จะกลับด้านขนมปังเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งทาง

ขนมปังที่ได้จะมีลักษณะคล้ายพุดดิ้งขนมปัง (Bread Pudding)
แต่ผิวกรอบและแห้งกว่า หลังจากเสร็จขั้นตอนนี้ (ซึ่งสามารถทำไว้ล่วงหน้าได้)
ให้นำขนมปังออกมาพัก พร้อมกับปรับโปรแกรมเตาอบเป็นโปรแกรมย่างไฟบน
และเมื่อมาถึงเวลานี้ เพื่อให้ได้อรรถรสแบบสมอร์ ทานูเทลล่า (Nutella)
บนขนมปังที่พักไว้ ถ้าไม่มีสามารถใช้พีนัทบัตเตอร์ หรือแยมผลไม้ก็ได้เช่นกัน
แล้วจึงวางมาร์ชเมลโลวแปะลงไปบนผิวหน้าให้ทั่วๆ ดี
นำไปย่างในเตาอบจนมาร์ชเมลโลวเริ่มมีน้ำตาลอ่อนจากการย่าง
นำขนมปังใส่จานเสิร์ฟ ราดด้วยซอสช็อกโกแลต และบดบิสกิตหยาบๆ โรยด้านบนอีกที

แนะนำให้รับประทานในเวลาที่มาร์ชเมลโลวยังอุ่นๆ อยู่
เวลารับประทานจะได้รสชาติแบบสมอร์ที่มาพร้อมกับเนื้อสัมผัสหนึบหนับ และเข้มข้นจากรสช็อกโกแลต
ถ้าจะให้ดีและอร่อยมากขึ้นไปอีก หาคนรู้ใจมาร่วมทานด้วยกันหลายๆ คนนะครับ
และเมื่อมาถึงคำสุดท้าย เราก็อาจจะได้ยินใครสักคนพูดว่า “Can I have some more?”

PHOL’S FOOD : SOLE EN PAPILLOTE

By | | No Comments


………………………………………………..

Sole en Papillote
ปลาตาเดียวในห่อกระดาษ
………………………………………………..

En Papillote ออง-ปา-ปิ-ลอท เป็นเทคนิคในการทำอาหารที่ช่วยรักษาความชุ่มชื่นและรสชาติต่างๆ
ของอาหารให้โดดเด่นและครบถ้วน ด้วยการนำส่วนประกอบและเครื่องปรุงรสทั้งหมดใส่ในห่อกระดาษ
พับปิดให้มิดและอบจนสุกดี ปลาและไก่เป็นส่วนประกอบที่นิยมปรุงด้วยเทคนิคนี้ เนื่องจากเป็นเนื้อสัตว์ที่สุกง่าย

ปลาตาเดียวในห่อกระดาษสูตรนี้ ใช้ปลา 500 กรัม ตัดแต่งให้ได้ชิ้นขนาดเท่าๆ กัน และแบ่งออกเป็นสองส่วน
เตรียมเปิดเตาอบที่ 230 องศาเซลเซียส ตัดกระดาษไข 2 แผ่นให้ได้ขนาด 12×20 นิ้ว แล้วพับครึ่ง
ซอยกระเทียม 2 กลีบบางๆ แล้วนำไปผัดกับน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
ปรุงรสด้วยพริกป่นเล็กน้อย ผัดให้กระเทียมสุกดี นำออกจากความร้อน ผ่าครึ่งมะเขือเทศเชอร์รี่ลงไป 10 ผล
ซอยมะกอกดำใส่ลงไป 8 ผล ตามด้วยเคเปอร์ 1 ช้อนโต๊ะ โรยเกลือและพริกไทยให้ทั่วชิ้นปลา
ซอยมะนาวเลมอนบางๆ วางลงบริเวณกลางรอยพับของกระดาษไขสัก 2-3 แว่น วางชิ้นปลาลงบนมะนาว
แบ่งครึ่งส่วนประกอบในกระทะลงบนชิ้นปลา พรมด้วยไวน์ขาวสัก 2 ช้อนชา (ต่อปลาหนึ่งห่อ)
วางใบไทม์ลงไปสัก 2-3 ก้าน พร้อมเนยก้อนเล็กขนาด 1 ช้อนชา แล้วจึงพับกระดาษปิดให้สนิททุกมุม
วางปลาตาเดียวในห่อกระดาษทั้งสองห่อบนถาดอบ นำเข้าอบเป็นเวลา 12 นาที เสิร์ฟเพื่อรับประทานทันที

PHOL’S FOOD : GRILL CORN ON THE COP

By | | No Comments

………………………………………………..
Grilled Corn on the Cob
ข้าวโพดปิ้ง
………………………………………………..

ใครชอบกินข้าวโพดปิ้งยกมือขึ้น ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบในรสชาติและความหอมมันของข้าวโพดปิ้ง
แต่ดูเหมือนว่าในปัจจุบัน ข้าวโพดปิ้งจะหารับประทานได้ยากขึ้นทุกที

ข้าวโพดปิ้งมีกลิ่นหอมและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากข้าวโพดต้ม
การปิ้งข้าวโพดไม่ใช่เรื่องยาก และถ้าจะให้หอมอร่อยแล้ว เราต้องรู้เทคนิคที่ถูกต้อง

ข้าวโพดที่เหมาะกับการนำไปปิ้งจะต้องมีเปลือกคลุมอยู่ เลือกข้าวโพดที่เปลือกยังมีสีเขียวอ่อน และไม่แห้งกรอบ
เมื่อต้องการจะนำไปปิ้ง ก็ให้ดึงเปลือกลงมาเบาๆ อย่าให้เปลือกหลุดออกจากข้าวโพด
เพราะสิ่งที่เราต้องการในขั้นตอนนี้ก็คือการถอนซางด้านในให้หมด แล้วก็รวบเปลือกหุ้มกลับไป
นำข้าวโพดไปแช่ในน้ำสะอาดผสมเกลือ (สัดส่วนคือน้ำ 1 ลิตรต่อเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ)
ทิ้งไว้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง การทำเช่นนี้จะทำให้เปลือกของข้าวโพดมีความชุ่มชื่น เวลานำไปปิ้งแล้วจะไม่ไหม้
ผมใช้เนยในการปรุงรสข้าวโพด โดยการนำเนยไปละลาย
ข้าวโพด 1 ฝักใช้เนย 1 ช้อนโต๊ะ ปรุงรสเนยด้วยเกลือ และปาปริก้า สับผักชีใส่ลงไปเล็กน้อย
ดึงเปลือกข้าวโพดลงมาอีกครั้ง ทาด้วยเนยที่ปรุงรสให้ทั่ว แล้วหุ้มเปลือกกลับไปอีกครั้ง
นำข้าวโพดไปปิ้งบนเตาถ่าน หรือกระทะย่าง กลับด้านไปมาเป็นระยะๆ
ย่างประมาณ 25 นาที ก่อนที่จะแกะเปลือกข้าวโพดออก ทาน้ำผึ้งบางๆ แล้วปิ้งต่ออีก 1 นาที
เพื่อให้ได้สีที่สวย เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ข้าวโพดปิ้งหอมๆ แสนอร่อยไว้รับประทาน

PHOL’S FOOD : ทาโก้กรอบ

By | | No Comments

การเดินทาง การเคลื่อนที่ของวัฒนธรรมเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีชีวิตยืนยาวเป็นร้อยปี
เราอาจจะได้แปลกใจกับหลายๆ สิ่งที่จะพัฒนาไปในอนาคต อย่างวัฒนธรรมอาหารมากมายที่เราได้สัมผัสในวันนี้
ถ้าจะย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดของเขา เราอาจจะพบว่ามันแทบจะเป็นคนละสิ่งกับที่เรารู้จักเลยก็ได้

ช่วงสั้นๆ ในชีวิตของผมที่ได้ศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกา  ผมได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย
รวมถึงประสบการณ์ในเรื่องของอาหารการกิน เสรีภาพทางด้านความคิดความอ่านของคนอเมริกัน
บวกกับรสนิยมในแบบอเมริกัน เมื่อผสมผสานกับวัฒนธรรมที่ไหลเข้ามา ก็สามารถเกิดเป็นสิ่งใหม่ที่มีเอกลักษณ์ในรูปแบบของตนเองได้
อย่างพูดถึงพาสต้า เราก็ต้องคิดถึงประเทศอิตาลี แต่ในอเมริกาก็มีอาหารจากพาสต้าที่เป็นที่นิยมมากมายที่ไม่สามารถหารับประทานได้ในอิตาลี
หรือไม่น่าจะใช่พาสต้าสไตล์อิตาลี อย่างเช่น มักกะโรนีแอนด์ชีส หรือคาร์โบนาร่าในแบบอเมริกันที่อุดมไปด้วยครีมและชีส
อาหารจีนหลายเมนูในอเมริกาที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในร้านอาหารจีนแท้ๆ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อม วัตถุดิบ
รสนิยมความชอบของท้องถิ่นนั้นๆ รวมถึงทาโก้ อาหารเม็กซิกันยอดนิยมของชาวอเมริกัน

ทาโก้ในแป้งเปลือกบางกรอบสำเร็จรูปสีเหลืองที่ทำจากข้าวโพด ที่เป็นที่นิยมในร้านลักษณะที่เป็นฟาสฟู้ด
หลายๆ สาขามีพนักงานขายเป็นชาวเม็กซิกันด้วย ก็อาจจะทำให้เราคิดว่าทาโก้แบบที่เราเห็นคนอเมริกันเขาทานกันเป็นทาโก้แบบเม็กซิกันแท้
จริงๆ แล้วทาโก้แบบเม็กซิกันแท้ๆ นั้น มีอยู่หลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบช่างดูหน้าตาและเนื้อสัมผัสแตกต่างจากที่เราคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
แต่ทาโก้แบบที่เราพบเห็นในอเมริกันนั้นส่วนใหญ่ต้องเรียกว่าเป็นทาโก้แบบอเมริกัน
ซึ่งก็มีทั้งแบบที่เป็นแผ่นแป้งแข็งกรอบ (Hard-Shell Tacos) แบบแผ่นแป้งนุ่ม (Soft-Shell Tacos)
หรือแบบแผ่นแป้งกรอบฟูที่ผ่านการทอด (Crispy Tacos)
รูปแบบของการพัฒนาเกิดจากขบวนการความคิดในการสร้างสรรเมนูให้มีความแตกต่าง
ทาโก้เหล่านี้อาจเหลือกลิ่นอายแบบเม็กซิกันอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังคงเรียกว่าทาโก้
มุมมองที่ผมนำมาแบ่งปันนี้ ไม่ได้สื่อว่าของดั้งเดิมต้องดีกว่าของที่ถูกดัดแปลงแล้วเสมอ
เพราะผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบและคุ้นเคยกับทาโก้แบบอเมริกัน ไม่แน่นะครับ
ในอนาคตอาจจะมีเมนูอะไรสักอย่างที่ถูกเรียกว่าเป็นอาหารไทย แต่คนไทยอาจไม่รู้จักเลยก็ได้

……………………………………………

 

ทาโก้ Taco
เมนูอาหารประจำชาติของเม็กซิกัน ประกอบไปด้วยแป้งตอติญ่ากรอบ และเครื่องเคียงมากมาย

ส่วนประกอบ

  • เนื้อวัวบด                             230    กรัม
  • เนื้อหมูบด                            230    กรัม
  • น้ำมันมะกอก                       1 ½    ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียม                                  1     กลีบ
  • หอมใหญ่                              100    กรัม
  • มะเขือเทศบด                        180   กรัม
  • น้ำตาลทราย                         1 ½   ช้อนชา
  • เครื่องเทศเคจัน (Cajun)      1 ½   ช้อนชา
  • แป้งตอติญ่ากรอบ                   10   ชิ้น
  • อโวคาโด้                             สำหรับเสิร์ฟ
  • ชีสเชดด้า                            สำหรับเสิร์ฟ
  • มะเขือเทศ                           สำหรับเสิร์ฟ
  • ผักกาดแก้ว                        สำหรับเสิร์ฟ
  • มะกอกดำ                           สำหรับเสิร์ฟ
  • ต้นหอม (ซอย)                   สำหรับเสิร์ฟ
  • ครีมเปรี้ยว                         สำหรับเสิร์ฟ

 

วิธีทำ

  1. ผัดหอมใหญ่กับน้ำมันมะกอก พอหอมเริ่มใส ใส่กระเทียมสับและมะเขือเทสบดลงไป ผัดประมาณ 1 นาที ใส่เนื้อทั้งหมดลงไป
    ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย และเครื่องเทศเคจัน ผัดให้ซอสแห้งลง
  2. ตักเนื้อบดปรุงรสใส่ลงไปในแป้งตอติญ่ากรอบ เคียงด้วยอโวคาโด้ มะเขือเทศหั่นเต๋า ผักกาดแก้วซอย มะกอกดำ ชีสเชดด้า
    ครีมเปรี้ยว และต้นหอมซอย พร้อมรับประทาน

PHOL’S FOOD : คัพเค้กบอสตันครีมพาย

By | | No Comments

เพียงเพราะสิ่งที่เราได้ยินไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุขกับมันไม่ได้ ชื่อนั้นสำคัญไฉน
แต่สิ่งที่ทำให้เราชื่นใจกลับอยู่ที่เนื้อแท้ ช่วงเวลาแห่งการเดินเข้าสู่ปีใหม่
ผมมีคัพเค้กมาฝาก คัพเค้กตัวนี้เป็นการย่อส่วนจากเค้กชิ้นใหญ่ที่มีชื่อว่า
บอสตันครีมพาย (Boston Cream Pie) ฟังจากชื่อเราก็คงคาดหวังที่จะเห็นพายสไตล์อเมริกันชิ้นใหญ่ใส่ไส้อะไรสักอย่าง

แต่บอสตันครีมพาย กลับไม่ใช่พาย แต่เป็นเค้กสปัจน์สองชิ้น ประกบไส้คัสตาร์ดวานิลลา
แล้วราดด้วยช็อกโกแลตเข้มข้นอีกที เค้กตัวนี้มีต้นกำเนิดที่โรงแรม Parker House เมืองบอสตัน ในปี 1856
โดยเชฟเชื้อสายฝรั่งเศสอาร์มีเนียชื่อ M. Sanzia ในปี 1996 บอสตันครีมพายได้ถูกเลือกให้เป็นขนมหวานประจำรัฐแมสซาชูเซตส์

สำหรับผม ความน่าสนใจของบอสตันครีมพายอยู่ที่ตัวชื่อที่มักทำให้เกิดคำถาม
ชื่อพายแต่รูปร่างเป็นเค้ก และเมื่อพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ แล้ว จะเห็นว่าองค์ประกอบหลักมีเพียงแค่สามอย่างจริงๆ
อันได้แก่ เค้กเนื้อสปัจน์ คัสตาร์ดรสวานิลลา และช็อกโกแลตกานาซ ถ้าเค้กตัวนี้มีชื่ออื่นๆ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้

 ผมเลือกที่จะนำบอสตันครีมพายมาทำเป็นคัพเค้กชิ้นเล็กๆ เนื่องจากเสน่ห์ที่เรียบง่าย
เค้กสปัจน์อร่อยๆ ทำไม่ยากถ้าเรารู้เทคนิค คัสตาร์ดวานิลลาจะอร่อยได้ถ้าใช้วานิลลาคุณภาพ
ส่วนช็อกโกแลตกานาซนั้น จะรสชาติถูกใจหรือไม่ ก็อยู่ที่คุณภาพและรสชาติช็อกโกแลตที่เราเลือก
ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่ก็พิเศษได้ ถ้าเราให้ความใส่ใจ เลือกส่วนประกอบที่ดีที่สุด
ตีแป้งด้วยความตั้งใจ อบด้วยความรัก ปักเทียนสักเล่ม แล้วร่วมเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ที่งดงามด้วยกันนะครับ

……………………………………………

 

Boston Cream Pie Cupcake คัพเค้กบอสตันครีมพาย
บอสตันครีมพาย เป็นเค้กที่ปากไม่ตรงกับใจ เนื่องจากบอสตันครีมพายไม่ได้มีลักษณะเป็นพายแต่อย่างใด แต่เป็นชื่อของเค้กที่ผ่าครึ่ง ใส่ไส้ครีมตรงกลางแล้วราดด้วยช็อกโกแลตฉ่ำๆ  พลนำบอสตันครีมพายมาย่อส่วนเป็นเค้กชิ้นเล็กๆ ขนาดเดียวกับคัพเค้กให้ดูคล้ายกับว่าเป็นบอสตันครีมพายจิ๋ว

เค้กสปัจน์

  • เนย                      95         กรัม + ทาพิมพ์
  • แป้งสาลี            180         กรัม + โรยพิมพ์
  • ผงฟู                  1 ½          ช้อนชา
  • เกลือ                   ½           ช้อนชา
  • นมสด                 ½            ถ้วย
  • ไข่ไก่                     3            ฟอง
  • น้ำตาลทราย    200           กรัม
  • กลิ่นวานิลลา         1            ช้อนชา

ช็อกโกแลตกานาซ

  • ดาร์กช็อกโกแลต   60        กรัม
  • ครีม                          4        ช้อนโต๊ะ
  • น้ำผึ้ง                         1        ช้อนชา

คัสตาร์ดวานิลลา

  • ไข่แดง                   2         ฟอง
  • น้ำตาลทราย       50         กรัม
  • แป้งข้าวโพด          2         ช้อนโต๊ะ
  • นมสด                     1         ถ้วย
  • วานิลลา                 1          ฝัก

 

วิธีทำ

  1. เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ180 องศาเซลเซียส เตรียมพิมพ์มัฟฟินขนาดมาตรฐาน ทาเนยบางๆ โรยแป้งให้เคลือบทั่วๆ แล้วเคาะแป้งส่วนเกินออก พักไว้
  2. ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือเข้าด้วยกัน พักไว้
  3. นำเนย และนมใส่หม้อ ตั้งไฟต่ำให้ค่อยๆ ละลาย
  4. ตีไข่ไก่ และน้ำตาลด้วยหัวตีตะกร้อด้วยความเร็วสูงให้ฟูและขาวขึ้นประมาณ 5 นาที ลดความเร็วลงต่ำ แล้วค่อยๆ ใส่ส่วนผสมของแห้งลงไป ตีให้เข้ากันดี
  5. นำเนยและนมที่ละลายดีแล้ว ตั้งไฟอีกครั้งจนเดือด ยกออกจากความร้อน แล้วค่อยๆ หยอดลงในส่วนผสมในขณะที่เดินเครื่องไปด้วย ตีจนเข้ากันดี
  6. ใส่ส่วนผสมลงไปในพิมพ์ที่เตรียมไว้ ประมาณ ¾ ของขนาดพิมพ์ แล้วนำเข้าอบเป็นเวลา 15 นาที เมื่อสุกดีแล้ว ก็นำออกมาจากเตา
    เคาะตัวเค้กออกจากพิมพ์ พักให้เย็นลงบนตะแกรงแล้วหั่นครึ่งตัวเค้ก
  7. ทำคัสตาร์ด โดยนำแป้งข้าวโพด และน้ำตาลใส่หม้อ กรีดฝักวานิลลา และขูดเมล็ดใส่ลงไป ตั้งไฟกลาง ค่อยๆ เทนมลงไปทีละนิดคนให้เข้ากันดี
    พอส่วนประกอบเริ่มเดือด ก็ยกออกจากความร้อน เทส่วนผสมประมาณ 1/3 ลงในไข่แดง คนให้เข้ากัน แล้วเทกลับลงไปผสมกับส่วนผสมนมที่เหลือในหม้อ
    ตั้งไฟ คนต่อจนเดือดอีกครั้ง ยกออกจากความร้อน
  8. นำออกมาพักให้เย็นลงเล็กน้อย
  9. ทำช็อกโกแลตกานาซโดยนำครีมไปตั้งไฟ พอเริ่มเดือด ก็ยกออกจากความร้อน ใส่ช็อกโกแลตลงไป คนให้ละลาย ใส่น้ำผึ้งตามลงไป คนให้เข้ากัน
  10. ตักคัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะใส่ระหว่างตัวเค้ก ราดหน้าด้วยช็อกโกแลตกานาช พร้อมเสิร์ฟ

PHOL’S FOOD : มันฝรั่งแฮสเซลแบล็ค

By | | No Comments

แม้ว่าคนไทยจะรับประทานข้าวเป็นหลัก แต่ในบ้านเราก็ปลูกมันฝรั่งได้มากมาย
และก็มีหลากหลายเมนูอาหารที่เข้ากันได้ดีกับมันฝรั่ง มันฝรั่งไม่ต่างจากข้าว
รับประทานแล้วทำให้อิ่มนานเนื่องจากมีส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง มันฝรั่งมีสารอาหาร และแร่ธาตุมากมาย
ไม่ว่าโปรตีน แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม กรดโฟลิก และวิตามินซี
การรับประทานมันฝรั่งยังช่วยป้องกันไข้หวัด ช่วยปรับฮอร์โมน ช่วยถอนพิษที่เป็นอันตรายในตับ และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

มันฝรั่งมีราคาไม่แพง และการมีโภชนาการที่ดี เราควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย การทดแทนข้าวด้วยมันฝรั่งในบางมื้ออาหาร
จึงทำให้เราสามารถได้รับสารอาหารที่หลากหลายกว่า รูปแบบของการปรุงมันฝรั่งที่เราคุ้นเคยมีมากมายหลายรูปแบบ
ไม่ว่า เฟร้นฟราย มันต้ม มันบด หรือมันอบ

แฮสเซลแบล็ค (Hasselback) เป็นอีกรูปแบบของมันอบที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อคุ้นตาเท่าไรนัก
ตัวมันฝรั่งนั้นถูกสไลด์บางๆ แบบยังไม่ขาดจากกัน ทำให้มีหน้าตาละไม้คล้ายกับเครื่องดนตรีที่เรียกว่า แอกคอร์เดียน (Accordion)
บางคนจึงเรียกมันอบในรูปแบบนี้ว่า มันฝรั่งแอกคอร์เดียน ส่วนชื่อ แฮสเซลแบล็คนั้นมาจากร้านอาหารในสวีเดน
ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มคิดค้นเจ้ามันฝรั่งสูตรนี้ขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 17 หลังจากเป็นที่นิยมในสวีเดน ก็แพร่หลายไปในประเทศอื่นๆ ในเวลาต่อมา

เสน่ห์ของมันอบแฮสเซลแบล็ค ที่แตกต่างจากมันอบทั่วไปคือ ผิวที่อบด้านนอกจะกรอบ
สามารถรับประทานได้ทั้งผิว ถ้าต้องการ แต่เนื้อด้านในจะนุ่ม มันอบแฮสเซสแบล็คนั้นสามารถรับประทานเป็นอาหารเช้า
ของว่างระหว่างวัน หรือนิยมเสิร์ฟกับอาหารหลักในมื้อกลางวัน และมื้อเย็น

……………………………………………

 

มันฝรั่งแฮสเซลแบล็ค Hasselback Potato

Hasselback เป็นชื่อของร้านอาหารที่ประเทศสวีเดนร้านซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดรูปแบบของมันฝรั่งสูตรนี้มันฝรั่งแฮสเซลแบล็คมีลักษณะคล้ายกับเครื่องดนตรีแอกคอร์เดียนโดยทั่วไปจะใช้มันฝรั่งที่มีลักษณะเป็นทรงรียาวซอยให้เป็นแว่นๆแต่ไม่ขาดอบกับเนยและโรยเกลือพริกไทยผลที่ได้ก็คือเนื้อที่นุ่มด้านในและมีความกรอบที่บริเวณขอบๆผมดัดแปลงวิธีการอบให้เร็วขึ้นเล็กน้อยโดยการใช้ฟรอย์ดห่อในการอบช่วงแรกเพื่อช่วยให้มันฝรั่งสุกเร็วขึ้นแล้วจึงค่อยอบต่อโดยให้มันฝรั่งได้สัมผัสกับความร้อนโดยตรงในช่วงหลัง

ผมเสิร์ฟมันฝรั่งแฮสเซลแบล็คกับครีมเปรี้ยวและเบคอนถ้าไม่ชอบก็สามารถเปลี่ยนหรือไม่ใส่ก็ได้เช่นกัน

ส่วนประกอบ

  • มันฝรั่ง              3 หัว
  • เบคอน              6 เส้น
  • เนย                   2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียม           1 กลีบ
  • เกลือ                 ¼ ช้อนชา
  • ครีมเปรี้ยว        สำหรับเสิร์ฟ
  • ต้นหอม             สำหรับเสิร์ฟ
  • ปาปริก้า            สำหรับเสิร์ฟ
  • พาสลีย์              แต่งหน้า


วิธีทำ

  1. เปิดเตาอบที่ 220 องศาเซลเซียส
  2. ทำความสะอาดมันฝรั่งใช้กระดาษซับให้แห้งดีใช้มีดซอยมันฝรั่งเป็นลักษณะแว่นกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร
    แต่อย่าให้ขาดหมายความว่าไม่ต้องหั่นให้สุดให้มีดลงไปเพียง ¾ ของความหนาก็เพียงพอ
  3. ซอยเบคอนเป็นชิ้นเล็กๆนำครึ่งหนึ่งของเบคอนไปแทรกตามมันฝรั่ง
  4. บดกระเทียมผสมกับเนยปรุงรสด้วยเกลือแล้วนำไปทาบนมันฝรั่งให้ทั่วๆ
  5. ใช้ฟรอย์ดห่อมันฝรั่งแล้วนำเข้าอบเป็นเวลา 25 นาทีแล้วเปิดฟรอย์ดออกเลื่อนถาดข้นด้านบนอบต่ออีก 10 นาที
  6. ระหว่างอบมันฝรั่งให้นำเบคอนที่เหลือไปทอดให้กรอบสะเด็ดน้ำมันออกพักไว้
  7. เสิร์ฟมันฝรั่งแฮสเซลแบล็คกับครีมเปรี้ยวโรยด้วยปาปริก้าเบคอนและต้นหอมซอยแต่หงน้าด้วยพาสลีย์รับประทานร้อนๆ

 

PHOL’S FOOD : Raspberry and Cream Angel Cake

By | | No Comments

แม้ว่าวันแห่งความรักจะเพิ่งเดินจากเราไป แต่กลิ่นอายของความรักจะยังคงอยู่กับเราเสมอ

ณ วันนี้ เวลานี้ จึงไม่สายเกินไปที่ผมจะมอบ เค้กนางฟ้าราสเบอร์รี่แอนด์ครีม (Raspberry & Cream Angel Cake)
ให้เป็นที่ระลึกกับความรักที่สวยงาม เค้กนางฟ้าเนื้อเบานุ่มกับครีมสดสีขาวสอดไส้ด้วยแยมผลไม้สีแดงอย่างราสเบอร์รี่
ดูเหมือนจะเป็นของหวานๆ สีสวยที่จะทำให้คุณสัมผัสได้ถึงรักแท้

เค้กนางฟ้า มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Angel Food Cake หรือ Angel Cake
ด้วยเนื้อที่โพร่งเบาจึงถึงเปรียบเปรยเสมือนว่าเป็นอาหารของเหล่านางฟ้า เค้กนางฟ้ามีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา
เค้กนางฟ้าและเค้กชิฟฟ่อนมีลักษณะเบาใกล้เคียงกัน แต่เนื้อสัมผัสนั้นแตกต่าง
เค้กนางฟ้าจะไม่มีส่วนประกอบของไขมันใดๆ และใช้ส่วนประกอบของไข่ไก่แต่เพียงไข่ขาวเท่านั้น
ส่วนเค้กชิฟฟ่อนนั้น มีส่วนผสมของน้ำมันพืช และแม้จะมีการแยกส่วนของไข่แดงไข่ขาวออกจากกัน แต่ไข่แดงที่แยกออกมาก็ถูกใช้เพื่อเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน
เนื้อสัมผัสของเค้กนางฟ้าจึงมีลักษณะที่แห้งกว่าเค้กชิฟฟ่อนเล็กน้อย

ความเบาของเค้กนางฟ้านั้นมาจากโครงสร้างของเค้กที่มีอากาศแทรกอยู่มากมาย
จากการตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายให้ฟูเพื่อให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง แล้วจึงนำไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ อย่างเบาๆ ก่อนที่จะนำไปอบให้ขึ้นฟูและสุกดี

เค้กนางฟ้าโดยทั่วไปค่อนข้างหนา ดังนั้นการที่จะให้เค้กสุกดีนั้น ตัวพิมพ์จึงมีลักษณะเป็นปล่องตรงกลางเพื่อให้ความร้อนกระจายได้ทั่วถึง และถ้าสังเกตุให้ดี
จะเห็นว่าตัวปล่องตรงกลางพิมพ์เค้กนั้น จะมีความสูงมากกว่าข้างขอบพิมพ์ด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุผลมาจากความนุ่มเบาของตัวเค้กซึ่งเมื่อเค้กอบเสร็จใหม่ๆ
เวลาที่เราออกจากเตาอบ เราจะพักเค้กให้เย็นลงในลักษณะตีลังกา เพราะเนื่องจากเค้กชนิดนี้เบาด้วยอากาศ แต่ตัวโครงสร้างไม่ได้แข็งแรงมากเนื่องจากมีจำนวนของแป้งน้อย
เวลาที่ออกจากเตาแล้วจะยุบตัว ดังนั้น เราจึงต้องพักตัวเค้กในลักษณะคว่ำให้ตัวเลค้กทิ้งน้ำหนักตัวลงมา
เมื่อเค้กเย็นลงจะไม่ยุบตัว และการที่เราจะคว่ำเค้กได้นั้น ก็หมายความว่าเค้กชนิดนี้ เราจะไม่มีการทาเนยหรือไขมันใดๆ ที่พิมพ์ทั้งสิ้น
แต่พิมพ์เค้กนั้นจะสามารถแยกออกเป็นสองชิ้น เมื่อต้องการเอาเค้กออกก็ให้แซะเค้กออกมา

……………………………………………

 

เค้กนางฟ้าราสเบอร์รี่แอนด์ครีม (Raspberry & Cream Angel Cake)

เค้กเนื้อที่เบานุ่มเหมือนปีกนางฟ้าเนื่องจากมีส่วนประกอบหลักคือไข่ขาว สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือพิมพ์เค้กชิฟฟ่อนที่มีลักษณะเป็นปล่องตรงกลาง
ยาวเกินขอบพิมพ์เล็กน้อย ซึ่งมีหน้าที่เป็นเหมือนขาเวลาที่เราคว่ำพิมพ์เค้กหลังจากอบเสร็จใหม่ๆ เพื่อให้เค้กเย็นลงในลักษณะตีลังกา
ซึ่งจะทำให้เค้กไม่ยุบตัว รับประทานกับแยมราสเบอร์รี่

  • ไข่ขาว                           6 ฟอง
  • น้ำตาลทราย                   85 + 55 กรัม
  • แป้งสาลี                        70 กรัม
  • แยมราสเบอร์รี่                1 ถ้วย
  • ครีม                              2 ถ้วย
  • กลิ่นราสเบอร์รี่               1 ช้อนชา
  • ราสเบอร์รี่สด                 แต่งหน้า
  • ไวท์ช็อกโกแลตคอมพาวด์ แต่งหน้า

วิธีทำ

  1. เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลซียส เตรียมพิมพ์ชิฟฟ่อนขนาด 20 เซนติเมตร
  2. ร่อนแป้งสาลี แล้วนำไปผสมกับน้ำตาลทราย 55 กรัม พักไว้
  3. ตีไข่ขาวกับน้ำตาล 85 กรัมจนฟูและแน่นดี ใส่ส่วนผสมแป้งที่พักไว้ลงไปทีละน้อย ตะล่อมให้เข้ากัน ใส่ลงในพิมพ์ นำไปอบ 20 นาที
    แล้วนำออกมาพักในลักษณะตีลังกาให้เย็นลง ก่อนที่จะใช้พายอันเล็กแซะตัวเค้กออกมาจากพิมพ์
  4. ตัดเค้กแบ่งออกเป็นสามถึงสี่ชั้น แล้วทาแยมราสเบอร์รี่หนาๆ วางเค้กซ้อนกัน แล้วตีครีมกับกลิ่นราสเบอร์รี่จนแน่นดี แต่งรอบตัวเค้กให้สวยงาม
  5. แต่งรอบตัวเค้กง่ายๆ ด้วยไวท์ช็อกโกแลต โดยละลายช็อกโกแลตแล้วเทลงบนกระดาษไข ใช้ไม้พายปาดบางๆ ให้ทั่วดี แล้วแปะทับด้วยกระดาษไขอีกแผ่น
    ม้วนกระดาษไขที่มีช็อกโกแลตอยู่ด้านใน นำไปแช่เย็นจนช็อกโกแลตแข็งดี เมื่อคลี่กระดาษออก ช็อกโกแลตจะหักออกจากกันเป็นลักษณะแท่งโค้งบางๆ
    นำมาแต่งรอบตัวเค้ก พร้อมกับราสเบอร์รี่สดสีสวยอีกเล็กน้อย

Phol’s Food : กุ้งพันอ้อย (จ๋าวโตม)

By | | No Comments

กุ้งพันอ้อย เมนูอาหารเวียดนามยอดนิยม
เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มแครอทและเส้นหมี่ลวกพร้อมด้วยน้ำมันต้นหอม
รับประทานกับผักสมุนไพรหลากหลายตามความต้องการ
กุ้งพันอ้อยที่เราคุ้นเคยนั้นจะมาในลักษณะที่นำไปทอด

สำหรับคนที่ต้องการหลักเลี่ยงการทอด
สามารถนำไปย่างในกระทะหรือในเตาอบ โดยใช้โปรแกรมย่างก็ได้เช่นกัน
……………………………………………


กุ้งพันอ้อย
• กุ้งขาว (แกะเปลือก) 450 กรัม
• มันหมูแข็ง 60 กรัม
• ต้นหอม (ซอย) ¼ ถ้วย
• หอมแดง (สับ) 3 หัว
• กระเทียม (สับ) 1 ช้อนชา
• น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
• เกลือ หยิบมือ
• น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
• พริกไทยขาวป่น ½ ช้อนชา
• แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
• ผงฟู ½ ช้อนชา
• อ้อย สำหรับเสิร์ฟ
• น้ำมันพืช 2 ช้อนชา + สำหรับทอด

น้ำจิ้มแครอท
• น้ำตาลทราย 150 กรัม
• น้ำส้มสายชู 150 มิลลิลิตร
• เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
• น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ
• กระเทียมสับ 3 กลีบ
• พริกจินดา 2 เม็ด
• หัวไชเท้า (ซอย) ¾ ถ้วย
• แครอท (ซอย) ¾ ถ้วย

น้ำมันต้นหอม
• ต้นหอม (ซอย) 2 ต้น
• น้ำมันรำข้าว 4 ช้อนโต๊ะ
• เกลือ หยิบมือ

อื่นๆ
• เส้นหมี่ลวก สำหรับเสิร์ฟ
• ผักสมุนไพร สำหรับเสิร์ฟ

วิธีทำ

1. เตรียมส่วนประกอบน้ำจิ้มแครอท โดยนำน้ำตาลทรายน้ำส้มสายชูเกลือและน้ำสะอาดใส่หม้อตั้งไฟเคี่ยวให้น้ำตาลทรายละลายดี สับกระเทียมและพริกลงไปพอเดือดอีกครั้งก็ยกออกจากความร้อนพักให้เย็นลง

2. ทำน้ำมันต้นหอม โดยซอยต้นหอมหยาบๆโรยด้วยเกลือขยำเบาๆตั้งน้ำมันให้พอร้อนดี ใส่ต้นหอมลงไปผัดสัก 1 นาทีพักให้เย็น

3. ซอยแครอทและหัวไชเท้าเป็นเส้นเล็กๆ แช่ในน้ำเย็นประมาณ 5 นาทีสะเด็ดน้ำออกบีบเบาๆ และซับให้แห้งหมาดๆ ใส่ส่วนประกอบน้ำส้มสายชูลงไปพักไว้

4. ทำกุ้งพันอ้อย โดยนำส่วนประกอบทั้งหมด ยกเว้นอ้อยและน้ำมันพืช ใส่เครื่องบดสับบดให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกันนำไปพักในตู้เย็นประมาณ 20 นาทีตัดอ้อยเป็นท่อนยาว 5 นิ้ว ตักส่วนประกอบเนื้อกุ้งประมาณ 60 กรัมใช้มือชุบน้ำหมาดๆปั้นส่วนผสมให้พันรอบอ้อย ทำซ้ำจนหมดพักในตู้เย็น

5. ตั้งน้ำมันที่ความร้อน 160 องศาเซลเซียส นำกุ้งพันอ้อยลงไปทอดจนสุกดี(สามารถย่างได้ถ้าต้องการ) เสิร์ฟกับผักเคียงต่างๆ น้ำจิ้มแครอทและเส้นหมี่ลวกพรมด้วยน้ำมันต้นหอม

PHOL’S FOOD : My Last Summer Pudding

By | | No Comments


“ใครว่าของเก่าไม่มีค่า”

ในขณะที่เรากำลังเดินเข้าสู่วันใหม่ วันเวลาเดิมๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่ดี
และวันเวลาใหม่ก็จะยังคงกรุ่นไปด้วยรสชาติของความคิดถึง

แผ่นขนมปังเนื้อขาวที่เหลือจากสัปดาห์ก่อน สตรอเบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ หรือเชอร์รี่
เหล่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่รับประทานไม่หมด ช่างเหมาะเหลือเกินที่จะนำมาประกอบให้เป็นพุดดิ้งเบอร์รี่แสนอร่อย
ที่ไม่ต้องพึงพาเตาอบให้ยุ่งยากแต่อย่างใด จะมีก็แต่ช่วงเวลาหนึ่งข้ามคืน
ก่อนที่ ซัมเมอร์พุดดิ้ง จะอยู่ทรง และมีรสฉ่ำพร้อมรับประทาน

ซัมเมอร์พุดดิ้ง ของหวานจากดินแดนผู้ดี ประเทศอังกฤษ ที่ใช้ขนมปังเก่า
กับผลไม้ในฤดูร้อนหลากหลายชนิด นำมาสร้างให้เป็นพุดดิ้งหน้าตาสวยงามโดยการใช้พิมพ์พุดดิ้งหรือชามที่มีลักษณะลึกมาเป็นพิมพ์
โดยการกรุขนมปังลงไปให้ทั่วตัวพิมพ์ แล้วใส่ผลไม้หลากชนิดลงไปพร้อมด้วยน้ำจากผลไม้นั้น
แล้วจึงปิดด้วยขนมปัง ก่อนที่จะใช้กระป๋องหรือของที่มีน้ำหนักกดทับเพื่อให้พุดดิ้งอยู่ทรง
โดยปกติ ตัวน้ำผลไม้จะซึมไปทั่วแผ่นขนมปัง ทำให้ด้านนอกของพุดดิ้งมีสีเข้มตามผลไม้นั้นๆ
แต่ซัมเมอร์พุดดิ้งของผมมีวิธีทำที่แตกต่างจากแบบดั้งเดิม เพราะผมทาแยมที่ขนมปังด้านในบางๆ
ตัวแยมจึงเป็นเหมือนกาวที่อุดไม่ให้น้ำผลไม้ซึมออกมามากเกินไป
คนส่วนมากอาจมองว่า ความสวยงามอันเป็นที่ต้องตาของซัมเมอร์พุดดิ้งนั้นมาจากสีเข้มของน้ำเบอร์รี่ที่ซึมออกมา
จนทำให้ไม่สามารถเห็นสีเดิมของขนมปังอีกเลย แต่ก็คงไม่แปลกถ้าบางคนจะมีความคิดที่แตกต่างและมองว่า
สีอ่อนๆ ของขนมปังก็มีความสวยงามให้ชื่นชมเช่นกัน

และตัวขนมปังเก่าเองนั้น ก็มีคุณค่าในตัวเอง นอกจากซัมเมอร์พุดดิ้งแล้ว
ยังมีพุดดิ้งขนมปัง (Bread & Butter Pudding) ซุปเย็นกัซปาโซ (Gazpacho) ครูตองซ์ (Croutons) เฟรนซ์โทสต์ (French Toast)
และของคาวหวานอีกมากมายหลายชนิดที่มีส่วนประกอบหลักเป็นขนมปังเก่า

………………………………….


ซัมเมอร์พุดดิ้ง

เป็นเหมือนความหวานหลงฤดูกาลที่พลัดถิ่นมา เพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ในช่วงฤดูร้อนของอังกฤษไม่ใช่เป็นผลไม้สามัญของบ้านเรา
หลายๆ ชนิดเป็นผลไม้ที่ต้องนำเข้าด้วยซ้ำไป แต่ด้วยคุณค่าทางโภชนาการ จึงทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหยิบจับเหล่าเจ้าเบอร์รี่ผลน้อยมาปรุงอย่างบรรจง
เพื่อสร้างความทรงจำที่สวยงามสู่การเดินเข้าสู่วันใหม่  ขนมปังก็เก่าเก็บ ผลไม้ก็หลงฤดู อีกในแบบที่ต้องการนั้นยังต้องสุกจัด ส่วนประกอบที่เดินทางผ่านเวลา
กลับกลายเป็นสิ่งใหม่ ความหมายใหม่…ในวันใหม่ 


ส่วนประกอบ

สตรอว์เบอร์รี่ 200 กรัม + ตกแต่ง
ราสพ์เบอร์รี่ 200 กรัม + ตกแต่ง
บูลเบอร์รี่ 200 กรัม + ตกแต่ง
น้ำตาลทราย 100 กรัม
น้ำส้ม 2 ช้อนโต๊ะ
ขนมปังตัดขอบ 6-8 แผ่น
แยมผลไม้ 80 กรัม


วิธีทำ

1. เตรียมพิมพ์พุดดิ้ง หรือชามที่มีขนาด 1 ลิตร ทาน้ำมันบางๆ ด้านใน แล้วรองด้วยพลาสติกถนอมอาหารให้ด้านปลายเลยตัวพิมพ์ออกมาเล็กน้อย

2. นำผลไม้ทั้งหมด ใส่น้ำตาลทราย และน้ำส้ม นำไปตั้งไฟจนน้ำตาลละลายดี และน้ำจากเบอร์รี่ออกมา นำออกมาพักให้เย็นลง

3. ทาแยมบางๆ ลงบนขนมปัง แล้วนำไปกรุในพิมพ์ โดยให้ด้านของแยมอยู่ด้านใน วางขนมปังให้ทั่วพิมพ์ กดให้แนบตัวพิมพ์

4. ตักผลไม้ใส่ลงไป ตามด้วยน้ำเชื่อมครึ่งหนึ่ง แล้วปิดด้วยขนมปังอีกแผ่น พับพลาสติกคลุมขนมปัง

5. ใช้จานที่เล็กกว่าตัวพุดดิ้งปิดด้านบน แล้วใช้กระป๋องนม หรือของที่มีน้ำหนักทับอีกที แช่เย็นค้างคืนให้อยู่ตัวดี

6. นำน้ำเชื่อมที่เหลือไปเคี่ยวให้ข้นขึ้น

7. คว่ำพุดดิ้งลงบนจาน ราดด้วยน้ำเชื่อม ตบแต่งด้วยผลไม้สด สามารถรับประทานกับวิ้ปครีมได้ ถ้าต้องการ

หมายเหตุ
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ในบ้านเรามีราคาค่อนข้างสูง เราสามารถใช้เบอร์รี่แช่แข็งซึ่งมีราคาถูกกว่าสำหรับตัวไส้ได้ ส่วนที่ตกแต่งจึงใช้เป็นเบอร์รี่สด

Phol’s Food : ไอศกรีมคาราเมลป๊อปคอร์น

By | | No Comments


มุมมองของการทำอาหารทุกวันนี้แตกต่างไปจากอดีต
ในอดีตเราทำอาหารทานเองที่บ้านเพราะเรารู้สึกว่า
การออกไปทานอาหารนอกบ้านนั้นดูจะเป็นเรื่องสิ้นเปลือง มีค่าใช้จ่ายสูง
แต่ถ้าเราสังเกตุให้ดี จะเห็นว่า ทุกวันนี้การทำอาหารทานเองไม่ได้ถูกกว่าการออกไปทานนอกบ้านเลย
เพราะคนที่ทำอาหารทานเอง เริ่มที่จะใส่ใจกับคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้มากขึ้น
และเพื่อเป็นการเริ่มต้นปีอย่างสวยงามและมีคุณภาพ
ผมจึงทำของหวานอารมณ์ดีที่มากับอุณหภูมิเย็น ไอศกรีมคาราเมลป๊อปคอร์น

การทำไอศกรีมที่ต้องอาศัยเครื่องทำไอศกรีม อาจดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยาก
ผมจึงใช้เทคนิคของการทำของหวานแช่แข็ง (Frozen Dessert) ที่เรียกว่า เซมิเฟโด้ (Semi Freddo)
ของหวานของประเทศอิตาลีที่มีความหมายว่า กึ่งเย็น (Half Cool)

………………………………….

 

ไอศกรีมคาราเมลป๊อปคอร์น
ใช้เทคนิคในการทำเซมิเฟโดมาประยุกษ์นั้นทำไม่ยาก เซมิเฟโดมีหน้าตาเหมือนไอศกรีม และมีเนื้อสัมผัสคล้ายไอศกรีม มีครีมเป็นส่วนประกอบหลัก
และที่สำคัญก็คือการทำเซมิเฟโด้นั้น ไม่ต้องใช้เครื่องทำไอศกรีมแต่อย่างใด ครั้นจะทำเซมิเฟโด้ในรสชาติของไอศกรีมทั่วๆ ไปที่คุณคุ้นเคยดี
ก็ดูเหมือนจะไม่มีความพิเศษแต่อย่างใด ผมจึงขอดึงรสของข้าวโพดคั่วรสคาราเมลให้มาอยู่ในเซมิเฟโด้ แล้วจัดเสิร์ฟให้รูปแบบของไอศกรีมให้เย็นชื่นใจ


ส่วนผสม

• ข้าวโพดคั่วรสคาราเมล 50 กรัม
• ครีม 2 ถ้วย
• ไข่ไก่ 3 ฟอง
• ไข่แดง 2 ฟอง
• น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
• วานิลลา ½ ช้อนชา

วิธีทำ

1. สับข้าวโพดคั่วแล้วนำไปแช่ในครีมแช่เย็นพักไว้ประมาณ 3 ชั่วโมงหรือข้ามคืนเพื่อให้ครีมมีรสของข้าวโพดคาราเมล

2. นำไข่ทั้งฟองกับไข่แดงใส่ในชามสเตนเลสกับน้ำตาลทรายและกลิ่นวานิลลา  ใช้ตะกร้อมือตีให้ส่วนผสมพอเข้ากันแล้วนำไปตั้งบนหม้อน้ำร้อนให้น้ำเดือดเบาๆ แค่พอมีไอร้อนสัมผัสกับชามผสมตีส่วนผสมประมาณ8 นาทีจนมีลักษณะฟูและสีขาวขึ้น

3. กรองครีมที่แช่ข้าวโพดไว้แล้วตีให้ฟูดีนำไปตะล่อมกับส่วนผสมไข่ให้เข้ากันอย่าคนแรงเพราะจะทำให้ส่วนผสมยุบตัว

4. นำส่วนผสมใส่ถาดไปแช่ในช่องแข็งประมาณ 3-5 ชั่วโมงจนแข็งตัวดี ก็จะได้ของหวานเย็นรสคาราเมลป๊อปคอร์นแสนอร่อยที่มีเนื้อสัมผัสเหมือนไอศกรีมรสนุ่ม

PHOL’S FOOD : ซูชิสีม่วง Purple Sushi

By | | No Comments

 

นอกจากคนญี่ปุ่นจะทานข้าวสวยกับซุปมิโซ หรืออาหารต่างๆ แล้ว
คนญี่ปุ่นยังนิยมนำข้าวมาปรุงรสกินกับปลาดิบหรือส่วนประกอบอื่นๆ ที่หลากหลาย
ซูชิ เป็นอาหารญี่ปุ่นที่เป็นที่รู้จักและนิยมไปทั่วโลก โดยทั่วไปมีราคาที่สูง จัดเป็นอาหารที่รับประทานในโอกาสที่พิเศษ
ประเภทและรูปทรงของซูชิมีมากมายหลายหลาก

ผมทำซูชิชนิดที่เรียกว่าอูรามากิ (Uramaki) เป็นซูชิที่มีข้าวอยู่ด้านนอก
ซูชิประเภทนี้ที่เป็นนิยมและรู้จักกันดี ก็คือ แคลิฟอร์เนียมากิ ซึ่งมักจะมีไข่กุ้งหรืองาคั่วหุ้มบนบริเวณข้าวด้านนอกอีกที
ผมทำ ซูชิสีม่วง โดยการหุงข้าวกับน้ำดอกอัญชันให้ได้ข้าวสีฟ้าเข้ม เมื่อนำมาเคล้ากับน้ำปรุงรสซูชิซึ่งมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชูหมักจากข้าว
ความเป็นกรดทำให้ข้าวสีฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง ซูชิสีม่วงมีไส้เป็นผักชนิดต่างๆ และถูกเคล้าด้วยเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) หรือเมล็ดปอป่าน
หนึ่งในสุดยอดอาหาร (Superfood) ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3
แหล่งสารอาหารที่สามารถทดแทนคุณค่าจากปลาน้ำลึกสำหรับคนที่รับประทานมังสวิรัติ

………………………………….

 

ซูชิสีม่วง Purple Sushi
อูรามากิซูชิ หรือซูชิแบบที่มีข้าวอยู่ด้านนอก ถูกนำมาดัดแปลงให้มีสีม่วงสวยจากส่วนผสมที่ได้จากธรรมชาติของดอกอัญชัน ประกอบกับการเปลี่ยนสีโดยธรรมชาติ
เมื่อสัมผัสกับน้ำส้มสายชูหมักจากข้าว ม้วนไส้ผักหลากชนิด แล้วนำไปเคล้าด้านนอกด้วยเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) สวย อร่อย อย่างมีคุณค่า และความหมาย


ส่วนผสม

· ข้าวสารญี่ปุ่น 230 กรัม
· ดอกอัญชัน 10 ดอก
· น้ำส้มสายชูหมักข้าว 1 ½ ช้อนโต๊ะ
· น้ำตาลทราย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
· เกลือ ½ ช้อนชา
· สาหร่ายห่อข้าว 4 แผ่น
· แตงกวาญี่ปุ่น 1 ผล
· หน่อไม้ฝรั่ง 8 ต้น
· ตะก้วง (หัวไชเท้าดอง) 8 ชิ้น
· เห็ดเข็มทอง 1 กำ
· เมล็ดแฟลกซ์ 4 ช้อนโต๊ะ
· โชยุ (ชนิดเค็มน้อย) สำหรับเสิร์ฟ
· ขิงดอง สำหรับเสิร์ฟ
· วาซาบิ สำหรับเสิร์ฟ


วิธีทำ

1. นำดอกอัญชันไปต้มกับน้ำสะอาด 1 ถ้วยจนได้สีฟ้าเข้มนำออกจากความร้อนกรองและเติมน้ำเพิ่มเพื่อให้ได้น้ำดอกอัญชัน 270 มิลลิลิตร (270 กรัม)

2. ล้างข้าวสารญี่ปุ่นในน้ำสะอาดประมาณ 2-3 ครั้งจนน้ำใสดีกรองข้าวใส่มห้อใส่น้ำดอกอัญชันลงไปแช่ข้าวไว้ประมาณ½ ชั่วโมง

3. ทำน้ำปรุงข้าวซูชิโดยนำน้ำส้มสายชูน้ำตาลทรายและเกลือไปตั้งไฟให้น้ำตาลทรายและเกลือละลายดีพักให้เย็นลง

4. หลังจากแช่ข้าวเม็ดข้าวจะมีสีที่ทืบขึ้นนำไปตั้งไฟพอเดือดก็ให้ปิดฝาหม้อลดไฟลงต่ำที่สุดหุงข้าวเป็นเวลา 15 นาที
เมื่อครบเวลาให้นำข้าวออกจากความร้อนปิดฝาพักไว้อีก 10 นาที

5. เตรียมถังไม้หรือชามผสมขนาดกลางคว่ำข้าวใส่ชามผสมพรมน้ำปรุงข้าวลงไปใช้ทัพพีไม้พลิกข้าวไปมาให้ข้าวสัมผัสกับน้ำปรุงรสทั่วดี  ข้าวจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง
ใช้พัดพัดข้าวให้เย็นลงแล้วใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆคลุมข้าวไว้ไม่ให้แห้ง

6. ใช้พลาสติกถนอมอาหาร (Wrap) ห่อเสื่อม้วนซูชิไว้นำหน่อไม้ฝรั่งไปลวกให้สุกดีหั่นตะก้วงและแตงกวาให้เป็นชิ้นยาวสวยงาม

7. เกลี่ยข้าวซูชิบางๆบนแผ่นสาหร่ายให้ทั่วดีนำด้านที่มีข้าวคว่ำลงบนเสื่อซูชิ  จัดเรียงผักต่างๆที่เตรียมไว้รวมถึงเห็ดเข็มทอง
ใช้เสื่อม้วนให้แน่นดีโดยม้วนออกจากตัวเมื่อม้วนดีแล้วให้ใช้เสื่อย้ำรูปทรงของซูชิให้สวยงามและสม่ำเสมอ

8. นำซูชิไปกลิ้งบนเมล็ดแฟลกซ์ตัดเป็นชิ้นพอดีคำเสิร์ฟกับโชยุขิงดองและวาซาบิ

 

Phol’s food : บัวลอยเสียบไม้ย่าง

By | | No Comments


แม้กาพย์แห่ชมเครื่องคาวหวาน (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2) จะมีบรรยายถึงบัวลอยไว้ว่า
“บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตนปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม”
แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ผมเองกระจ่างได้ถึงประวัติที่มาของบัวลอยได้มากนัก
จะมีก็แต่ร่องรอยที่บ่งบอกถึงการเดินทางอันยาวนานก็เท่านั้น

 ส่วนประกอบหลักของบัวลอยมีเพียง 3 อย่างอันได้แก่ แป้ง กะทิและน้ำตาล
แต่สิ่งที่ทำให้บัวลอยสามารถโดดเด่น มีมิติ และมีเสน่ห์
ก็เห็นจะเป็นบรรดากลิ่นหอมต่างๆ ที่ภูมิปัญญาไทยสามารถสอดแทรกเข้าไปอยู่ในตัวขนมได้
ไม่ว่าดอกมะลิ ใบเตย หรือควันเทียน

แป้งที่ใช้ทำบัวลอยนั้นคือ แป้งข้าวเหนียว ซึ่งก็เป็นแป้งที่มีอยู่ในหลายๆ วัฒนธรรมอาหาร
ในขณะที่ปั้นบัวลอย หยอดลงไปในน้ำเดือด เพื่อคอยให้ลอยขึ้นมาดั่งชื่อ
ใจก็อดคิดไปถึงแป้งโมจิของญี่ปุ่นไม่ได้  โมจิเองก็มีส่วนประกอบของแป้งข้าวเหนียวเหมือนกัน
และเมื่อคิดไปถึงขนมในตระกลูเดียวกับโมจิที่มีชื่อเรียกว่า ดังโงะ ที่ดูเผินๆ อาจจะดูเหมือนลูกชิ้นปลาย่าง
แต่แท้จริงแล้วนั้น เป็นแป้งโมจิเหนียวนุ่มย่างจนหอมแล้วทานกับซอสตามต้องการ

………………………………….


บัวลอยงาดำ

• งาดำ 45 กรัม
• แป้งข้าวเหนียว 90 กรัม
• น้ำตาลไอซิ่ง 15 กรัม

บัวลอยฟักทอง
• ฟักทองนึ่งสุก
• แป้งข้าวเหนียว

บัวลอยแครอท
• น้ำแครอท
• แป้งข้าวเหนียว

ซอสน้ำเชื่อมกะทิ
• น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม
• กะทิ 200 มิลลิลิตร
• เกลือ 1 ช้อนชา
• แป้งข้าวโพด 1 ½ ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ

1. ทำแป้งบัวลอยงาดำ โดยนำส่วนประกอบทุกอย่างปั่นให้เข้ากัน แล้วนำไปนวดกับน้ำสะอาดประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ หรือจนได้ส่วนผสมที่จับตัวกันได้ดี
สามารถปั้นได้ และไม่แข็งเกินไป พักไว้

2. ทำแป้งบัวลอยฟักทอง โดยบดฟักทองนึ่งให้ละเอียด ค่อยๆ ใส่แป้งลงไปทีละน้อย จนแป้งจับตัวกันได้ดี สามารถปั้นได้และไม่แข็งเกินไป

3. ทำแป้งบัวลอยแครอท โดยนำน้ำแครอทผสมกับแป้งข้าวเหนียว โดยใส่แป้งทีละนิด ถ้าแป้งจับตัวจน สามารถปั้นได้และไม่แข็งเกินไป เป็นอันใช้ได้

4. ปั้นตัวแป้งทั้งสามเป็นเม็ดใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ½ เซนติเมตร

5. ต้มน้ำพอเดือดใส่แป้งลงไปต้มให้สุกดี ตักแป้งออกมาแช่น้ำเย็นจัดเพื่อหยุดความร้อนนำบัวลอยเสียบไม้แล้วนำไปย่างบนกระทะ

6. ทำน้ำเชื่อมกะทิโดยต้มน้ำตาลปี๊บกับกะทิปรุงรสด้วยเกลือพอเข้ากันดีแล้วก็ให้ละลายแป้งข้าวโพดกับน้ำเล็กน้อยแล้วหยอดลงในน้ำเชื่อม
คนให้ข้นขึ้นแล้วจึงยกออกจากความร้อน

7. ทาน้ำเชื่อมกะทิข้นๆ บนบัวลอยย่างรับประทานร้อนๆ

Phol’s food : ช็อกโกแลตคัพเค้กเชอร์รี่โค้ก

By | | No Comments

 

การเป็นดาวเด่นฉายแสงเจิดจรัสไม่ได้จะเกิดขึ้นได้กับดวงดาวทุกดวง
การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้งไป และเมื่อสำเร็จแล้ว ก็ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพันได้ตลอด
ในช่วงหนึ่งของชีวิต ผมเคยได้ตื่นเต้นกับการออกรสชาติใหม่ของเครื่องดื่มน้ำอัดลมชื่อดัง
ซึ่งถือเป็นรสชาติแรกของน้ำอัดลมยี่ห้อนั้น ก่อนที่จะมีการทดลองตลาดในรสชาติอื่นๆ ในช่วงต่อมา

นานมาก่อนที่ เชอร์รี่โค้ก จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1985 นั้น
ร้านอาหารร้านขายน้ำอัดลมมากมายได้มีการขายเครื่องดื่มโคล่าใส่กลิ่นและรสของเชอร์รี่ลงไป
จนบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ได้ตัดสินใจพัฒนาสินค้าตัวนี้ขึ้นมาจริง
โดยได้มีการทดลองกับผู้บริโภคเป็นเวลา 2-3 ปีก่อนที่จะออกขายจริง
และเนื่องจากรสนิยมและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละที่นั้นมีความแตกต่างกัน
เชอร์รี่โค้กจึงอาจเป็นที่นิยมในบางประเทศ และอาจจะเป็นเพียงรสหวืดหวาใหม่ๆ ในช่วงเวลาสั้นสำหรับบางประเทศ

คัพเค้ก เค้กเล้กๆ ที่ออกแบบมาให้พอดีคนรับประทาน
ตามบันทึกครั้งแรกในปี 1796 ที่มีการกล่าวถึง เค้กที่อบในถ้วยใบเล็ก นั้น
ได้พบในหนังสือชื่อ American cookery เขียนโดย Amelia Simmons แต่ที่ถูกบันทึกโดยการใช้คำว่า คัพเค้ก  เลยนั้น
จะพบเจอครั้งแรกในปี 1828 ในหนังสือ 75 Receipts for Pastry, Cakes and Sweetmeats โดย Eliza Leslie

ในยุคแรกๆ ก่อนที่คัพเค้กจะถูกอบในพิมพ์หลุมแบบเดียวกับที่ใช้อบมัฟฟินที่มีลักษณะเป็นถาดที่มีหลุมหลายๆ หลุมอยู่ด้วยกันนั้น
คัพเค้กจะถูกอบในถ้วยดิน หรือถ้วยเซรามิคที่มีขนาดประมาณถ้วยน้ำชา
ซึ่งดูเหมือนว่าลักษณะการอบแบบนี้นั้นอาจเป็นที่มาของชื่อคัพเค้กที่เราเรียกกันมาถึงทุกวันนี้ก็ได้

………………………………….

ช็อกโกแลตคัพเค้กเชอร์รี่โค้ก เป็นการนำคัพเค้กที่ยังคงเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบันมาผสมผสานกับรสชาติแห่งความคิดถึงของน้ำอัดลมรสชาติหนึ่ง โดยแต่งเติมให้มีรูปลักษณ์ที่สะดุดตา รสชาติสะดุดใจ ให้เป็นของหวานที่จะอยู่ในความทรงจำ

ส่วนผสมคัพเค้กช็อกโกแลตเชอร์รี่
· ผงโกโก้ 40 กรัม
· น้ำเชื่อมโคล่า 6 ช้อนโต๊ะ
· เนย 190 กรัม
· น้ำตาลทราย 190 กรัม
· ไข่ไก่ 2 ฟอง
· กลิ่นเชอร์รี่ 1 ช้อนชา
· แป้งอเนกประสงค์ 200 กรัม
· ผงฟู ½ ช้อนชา
· เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
· เกลือ ½ ช้อนชา
· ครีมเปรี้ยว 125 กรัม

ส่วนผสมเมอแรง
· ไข่ขาว 90 กรัม
· น้ำตาลทราย 180 กรัม
· น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ

ตกแต่ง
· ช็อกโกแลตคอมพาวด์ 250 กรัม
· เชอร์รี่ในน้ำเชื่อม 12 ผล
· เยลลี่รูปขวดโคล่า 12 ชิ้น


วิธีทำ

1. เตรียมถาดอบขนาด 12 หลุม ใส่ถ้วยคัพเค้กกระดาษเตรียมไว้ และเปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส

2. นำผงโกโก้กับน้ำเชื่อมรสโคล่าไปตั้งไฟแค่พอให้ผงโกโก้ละลายดี แล้วพักให้เย็นลง

3. ละลายเนยและน้ำตาลทรายในหม้อแล้วก็นำมาใส่ลงในโถผสม ใช้หัวตีใบพัดตีให้คลายความร้อนลงก่อนที่จะใส่ไข่ไก่ลงไปทีละฟอง ตามด้วยกลิ่นเชอร์รี่
ตีจนฟูขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงใส่ส่วนผสมโกโก้ที่พักไว้ลงไป

4. ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือ แบ่งส่วนผสมออกเป็น 3 ส่วน นำส่วนผสมของแห้งใส่สลับกับครีมเปรี้ยวที่แบ่งออกเป็นสองส่วน
ใส่ลงในส่วนผสมหลัก โดยการใส่แต่ละส่วน ต้องตีให้เข้ากันดีก่อนใส่ส่วนต่อไป

5. ใส่ส่วนผสมลงในถ้วยคัพเค้กประมาณ ¾ ถ้วย นำเข้าอบ 25 นาที แล้วนำออกมาพักให้เย็นลง

6. ทำเมอแรงเพื่อแต่งบนคัพเค้ก โดยเตรียมไข่ขาวในเครื่องตีไข่ใส่หัวตีตะกร้อ ในขณะเดียวกัน นำน้ำตาลทรายและน้ำไปตั้งไฟ พอน้ำตาลทรายละลายดี เริ่มข้นขึ้น
และมีอุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส ก็ให้เริ่มตีไข่ขาว ในขณะที่น้ำเชื่อมมีอุณหภูมิสูงขึ้นมาที่121 องศาเซลเซียส ก็ให้ยกออกจากความร้อน ลดความเร็วที่ใช้ตีไข่มาอยู่ที่ระดับกลาง
ค่อยๆ หยอดน้ำเชื่อมที่ร้อนลงไปเป็นสายจนหมด แล้วจึงเร่งความเร็วอีกครั้งตีจนเมอแรงอุณหภูมิลดลงและมีสีขาวเงา

7. ใส่ส่วนผสมเมอแรงในถุงบีบ บีบเมอแรงลงไปคัพเค้กที่พักไว้ให้สวยงามจนหมด

8. ละลายช็อกโกแลตคอมพาวด์ นำคัพเค้กจุ่มลงไปช็อกโกแลต ในระหว่างที่ช็อกโกแลตยังไม่แข็งตัว ก็ให้วางเชอร์รี่และเยลลี่รูปขวดโคล่าตกแต่งลงไปให้สวยงาม

 

Phol’s food : เกี๊ยวซ่า Gyoza

By | | No Comments



ในปัจจุบัน เกี๊ยวซ่าถือว่าเป็นอาหารหลักของคนญี่ปุ่นไปแล้วก็ว่าได้
คนญี่ปุ่นนิยมทำเกี๊ยวซ่ารับประทานเองที่บ้านเป็นอาหารค่ำ หรือรับประทานตามร้านขายบะหมี่ราเมน
เกี๊ยวซ่าของญี่ปุ่นมีสามชนิดหลักๆ  ได้แก่ เกี๊ยวซ่าทอดในน้ำมัน (Sui-gyoza) เกี๊ยวซ่าในน้ำซุป (Age-gyoza) และเกี๊ยวซ่าย่างบนกระทะ (Yaki-gyoza)
ซึ่งเป็นเกี๊ยวซ่าประเภทที่นิยมมากที่สุด จะมีผิวสีน้ำตาลอ่อนๆ แบนเรียบด้านหนึ่งที่เกิดจากการนาบทอดบนกระทะ
หลังจากนั้นจึงมีการใส่น้ำลงไป และปิดฝาปรุงส่วนที่เหลือให้นุ่มและสุกดีด้วยการนึ่ง

ร้านเกี๊ยวซ่าร้านแรกของญี่ปุ่น  เป็นร้านของสามีภรรยาชาวญี่ปุ่นเปิดที่ย่านซิบูย่า
ขายเกี๊ยวซ่าแบบในน้ำซุป และแบบย่างบนกระทะซึ่งเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากกว่า
จนมีร้านอาหารอื่นๆ ทำตามมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันเกี๊ยวซ่าก็หารับประทานได้ทั่วญี่ปุ่นหรือจะว่าทั่วทุกมุมโลกก็ว่าได้

ถ้าคุณเป็นคนที่หลงใหลในเกี๊ยวซ่า อยากเข้าลึกให้ถึงประวัติอย่างละเอียด
ลองแวะไปที่พิพิธภัณฑ์เกี๊ยวซ่าที่เมืองโอซาก้าที่มีชื่อว่า เกี๊ยวซ่าสเตเดี่ยม (Gyoza Stadium)
เพื่อรับชมความเป็นมาและประวัติของเกี๊ยวซ่าอย่างละเอียด

………………………………….


กี๊ยวซ่า…ทันทีที่ได้ลองก็ต้องหลงใหลและอยากรับประทานอีก
เกี๊ยวซ่าของญี่ปุ่นพัฒนามาจากเกี๊ยวของจีน คนญี่ปุ่นได้เรียนรู้การทำเกี๊ยวจากคนจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในอาหารจีนนั้นมีเกี๊ยวหลากหลายรูปแบบ
แต่สำหรับอาหารญี่ปุ่นก็เห็นแต่จะมีเกี๊ยวซ่าอย่างเดียวนี่แหละ แป้งเกี๊ยวซ่าของญี่ปุ่นบางกว่าของจีนเพราะคนญี่ปุ่นรับประทานเกี๊ยวซ่ากับข้าวสวย
แต่คนจีนจะรับประทานเดี่ยวๆเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย

ส่วนผสมเกี๊ยวซ่าGyoza
· แผ่นแป้งเกี๊ยวซ่า 24 แผ่น
· น้ำมันรำข้าว 1 + 1 ช้อนโต๊ะ
· กะหล่ำปลี (ซอย) สำหรับเสิร์ฟ

ส่วนผสมไส้
· กะหล่ำปลี (ซอย) 50 กรัม
· กุยช่าย (ซอย) 50 กรัม
· กระเทียม (สับ) 2 กลีบ
· ขิง (ขูดฝอย) ½ ช้อนชา
· เนื้อหมูบด 150 กรัม
· น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
· โชยุ 1 ช้อนโต๊ะ
· น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
· เกลือพริกไทย ปรุงรส

ส่วนผสมน้ำจิ้มเกี๊ยวซ่า
· โชยุ 2 ช้อนโต๊ะ
· น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1 ช้อนโต๊ะ
· น้ำมันพริก (Layu) โรยหน้า


วิธีทำ

1. ทำไส้เกี๊ยวซ่าโดยผสมส่วนประกอบทั้งหมดของไส้เข้าด้วยกันคลุกให้เข้ากันดี

2. ตักไส้ประมาณ 2 ช้อนชาวางบนแผ่นแป้งเกี๊ยวซ่าใช้นิ้วแตะน้ำสะอาดมาทาขอบแป้งจากนั้นพับแป้งมาประกบอีกฝั่งจับเป็นจีบเหมือนพัดจากปลายหนึ่งสู่อีกปลายหนึ่ง
ประกบกันให้สนิทดีทำซ้ำจนหมดใช้ผ้าคลุมเพื่อไม่ให้แห้ง

3. อุ่นกระทะให้พอร้อนแล้วลดไฟใส่น้ำมันลงไป  1 ช้อนโต๊ะ นำเกี๊ยวซ่าลงไปเรียงให้สวยงามเทน้ำเปล่าลงไปให้สูง 1/3 ของความสูงของเกี๊ยวซ่า  จากนั้นปิดฝาและใช้ความร้อน
ปานกลาง นึ่งเกี๊ยวซ่าประมาณ 5 นาที  เปิดฝารอให้น้ำระเหยไปให้หมดใส่น้ำมันลงไปเพิ่มประมาณ 1  ช้อนโต๊ะ   ทอดต่อจนแป้งด้านที่นาบอยู่บนกระทะกรอบและมีสีน้ำตาลอ่อนๆ
นำเกี๊ยวซ่าคว่ำใส่จาน

4. ผสมน้ำจิ้มโดยผสมน้ำส้มสายชูและโชยุโรยหน้าเล็กน้อยด้วยน้ำมันพริกเล็กน้อยเสิร์ฟพร้อมเกี๊ยวซ่ารับประทานกับกะหล่ำปลีซอย (ถ้าต้องการ)
* หมายเหตุ
น้ำมันพริก (Layu) หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป  เป็นน้ำมันงาที่มีสีออกส้มอมแดงและมีรสเผ็ดอ่อนจากปรุงด้วยพริกใส่เล็กน้อยเพื่อเพิมความหอม